ทนายเรือฟินิกซ์ร้องขอความเป็นธรรม ลูกความถูกบีบบังคับให้รับเป็นนอมินี
ทนายเจ้าของเรือฟินิกซ์จมทะเลภูเก็ต เข้ายื่นหนังสือต่อผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าของเรือ ถูกตำรวจท่องเที่ยวบีบบังคับให้รับว่าเป็นนอมินี แลกกับการไม่ดำเนินคดีกับครอบครัวและไม่คัดค้านการประกันตัว
เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 61 ณ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นางสาวนลิน อินทรสมบัติ ทนายความของผู้ถูกกล่าวหาคดีเรือฟินิกซ์ พร้อมด้วย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่ปรึกษาทนายความ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอความเป็นธรรมให้ น.ส.วรลักษณ์ ฤกษ์ชัยกาล กรรมการ บริษัท ทีซีบลู ดรีม จำกัด เจ้าของเรือฟีนิกซ์ ที่ก่อนหน้านี้ถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จากเหตุเรือฟีนิกซ์ล่มที่บริเวณเกาะเฮ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวเสียชีวิต 47 คน โดยขณะนี้ถูกฝากขังอยู่ที่เรือนจำจังหวัดภูเก็ต
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่ปรึกษาทนายความ กล่าวภายหลังเข้ายื่นหนังสือกรณีการทำงานของพนักงานสอบสวนว่า บริษัทเจ้าของเรือฟินิกซ์ได้ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนมาตลอด จนกระทั่งถูกแจ้งดำเนินคดีในข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และศาลก็ไม่ให้ประกันตัว แต่สิ่งที่เป็นกังวลและต้องมาบอกความจริงในวันนี้ คือการทำงานของตำรวจท่องเที่ยว ที่เริ่มตั้งแต่การพยายามที่จะแจ้งข้อหานอมินี มีพนักงานสอบสวนที่มาจากตำรวจท่องเที่ยวเข้าไปพบ น.ส.วรลักษณ์ ในเรือนจำ แล้วขอให้ น.ส.วรลักษณ์ รับสารภาพว่าเป็นนอมินีของคนสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง ซึ่งหากไม่รับสารภาพเขาก็จะดำเนินคดีกับครอบครัวของ น.ส.วรลักษณ์ ด้วย แต่ถ้ารับสารภาพว่าเป็นนอมินีของคนสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง จะไม่คัดค้านการประกันตัว ซึ่งวิธีการสอบสวนของตำรวจนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการไปต่อรอง โน้มนาวชักจูง ให้คำมั่นสัญญา ถ้าไม่รับสารภาพจะจับคนในครอบครัว จนสุดท้าย น.ส.วรลักษณ์ ก็รับสารภาพว่าเป็นนอมินี เพื่อกันพ่อแม่ และพี่ชาย ออกจากข้อหานอมินี
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อไปว่า หลังจาก น.ส.วรลักษณ์ รับสารภาพ ทางพนักงานสอบสวนก็ได้โทรศัพท์ไปบอกพี่ชายของ น.ส.วรลักษณ์ ให้มาแก้ไขคำให้การ ถ้าไม่ยอมมาแก้ไขคำให้การก็จะจับกุมพี่ชายของ น.ส.วรลักษณ์ด้วย ซึ่งทางพี่ชายของ น.ส.วรลักษณ์ ได้มีการอัดเทปขณะสนทนากับตำรวจท่องเที่ยวไว้ด้วย โดยคลิปเสียงมีความยาวกว่า 2 ชั่วโมง โดยในบทสนทนามีการอ้างถึงรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวรายหนึ่ง ว่าทั้งหมด เป็นเรื่องที่รองผู้บัญชาการฯ เป็นคนสั่งการให้ทำอย่างนี้ คือ ถ้า น.ส.วรลักษณ์รับสารภาพแล้วซัดทอดคนสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง ว่าตัวเองเป็นนอมินี ผู้บริหารระดับสูงของตำรวจท่องเที่ยวก็จะให้ประกันตัว และจะไม่ได้ดำเนินคดีกับพ่อแม่และพี่ชายของ น.ส.วรลักษณ์ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย วันนี้ตนจึงได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตว่า สิ่งใดๆ ก็ตามที่เจ้าของเรือเคยให้ถ้อยคำไปขอให้ถือเป็นโมฆะ และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป น.ส.วรลักษณ์ จะไม่ยอมให้การและให้ถ้อยคำใดๆ ต่อพนักงานสอบสวนทั้งสิ้น หากไม่มีทนายความอยู่ด้วย ซึ่งหากมีคำให้การเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวน ของ น.ส.วรลักษณ์ จะถือว่าคำสอบนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบ เนื่องจากไม่มีทนายความอยู่ด้วย
ทั้งนี้ขั้นตอนดำเนินการหลังจากนี้ ตนจะไปไต่สวนต่อศาล ว่าคำคัดค้านของตำรวจไม่มีเหตุผล แต่ใช้เสรีภาพของผู้ต้องหาต่อรองและใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการกังขังบุคคล ตนจะยื่นคำร้องต่อศาลเอง ให้ศาลไต่สวน ศาลไต่สวนแล้วจะยังขังต่อตนก็ไม่ว่า แต่เราจะสู้ตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ตามประมวลกฎหมายอาญา และตนจะไปยื่นประกันตัวต่อศาลหรือขอให้ศาลปล่อยตัว น.ส.วรลักษณ์ เป็นการชั่วคราว และขอไต่สวนพฤติกรรมของพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม น.ส.วรลักษณ์ ยังคงยืนยันว่า ไม่ได้เป็นนอมินี เพียงแต่ถูกบังคับจนทำให้ต้องยอมรับว่าเป็นนอมินี