“ผู้การตี๋”เผยที่มาส่วยป่าตอง ขอสิทธิเปิดแค่ตี 3 แต่ดันถึงตี 5
ตร.ตั้งกรรมการสืบสวนฯ 15 นายตำรวจในภูเก็ต ไม่นำส่งคนต่างด้าวที่คดีสิ้นสุดให้ด่านตรวจคนเข้าเมือง ผลักดันออกนอกประเทศ 1 ปีมีถึง 142 ราย ส่วนปัญหาส่วย จเรตำรวจ ลงพื้นที่ตรวจสอบ ตร.ภูธร ภาค 8 ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง “ผู้การตี๋” เผยตัวก่อเหตุสถานบันเทิงป่าตองขอเปิดแค่ตี 3 แต่ดันเปิดถึงตี 5 เลยเป็นช่องโหว่ มีนายตำรวจที่เข้าข่ายถูกร้อง 5 – 6 นาย ตั้งแต่ระดับรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลงมา ขณะที่ ‘ศรีวราห์’ สั่งบช.ภ.8 ตั้งกรรมการสืบข้อเท็จ ตำรวจ 15 นาย หลังพบจับต่างชาติทำผิดกฎหมายแล้วไม่ส่งตัวให้ ตม. กำชับขันน็อตตำรวจทุกหน่วยพื้นที่ภูเก็ตให้กวดขันจับกุมต่างชาติที่ทำผิดกฎหมาย ส่วนโฆษก ตร.เผยพิษส่วย 100 ล้าน เด้งพ.ต.อ.‘รองผู้การภูเก็ต’ เข้ากรุคู่รองผกก.
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงกรณีตำรวจภูธรภาค 8 และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตจำนวน 15 นาย กรณีสงสัยว่าจะกระทำผิดวินัยราชการ เนื่องจากไม่มีการส่งมอบตัวคนต่างด้าวที่ถูกดำเนินคดีต่างๆ และคดีถึงที่สุดแล้วให้กับด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ ว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา ทางตำรวจภูธรภาค 8 ได้ มีคำสั่งที่ 505/2560 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีสงสัยว่าจะกระทำผิดวินัย เนื่องจากเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมาทางตำรวจภูธรภาค 8 ได้มีหนังสือมาถึงตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ให้ตรวจสอบข้อมูลคนต่างด้าว ที่ต้องหาคดีอาญาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.59 – 31 ต.ค.60 ว่า มีจำนวนกี่คดี คดีเกี่ยวกับอะไร รวมถึงผู้เสียหาย และผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ในการตรวจสอบจะต้องระบุเลข คดี ผู้ต้องหา วันเวลาที่เกิดเหตุ รวมทั้งชื่อของพนักงานสอบสวน
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พบว่า ในรายงานของตำรวจด่านตรวจคนเข้าเมืองพบว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าว จำนวน 142 ราย ไม่มีหลักฐานการรับตัวผู้ต้องหาของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ตแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามหนังสือสั่งการของตำรวจแห่งชาติ กรณีคนต่างด้าว หลังจากตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีนายตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนใน สภ.ต่างๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จำนวน 15 ราย จึงมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมา 1 ชุด โดยมี พล.ต.ต.ธีรพล คุปตานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นประธาน มีระยะเวลาในการสืบสวนข้อเท็จจริงเป็นระยะเวลา 7 วัน การตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในครั้งนี้ก็เพื่อสืบสวนหาที่มาที่ไปทั้งกรณีที่เกิดขึ้น ว่าทำไมถึงไม่มีการรับมอบตัวผู้ต้องหาของตำรวจด่านตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ธีระพล ยังได้กล่าวต่อถึงกรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องการเรียกรับส่วยที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ว่าเรื่องดังกล่าวทางผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ตำรวจภูธรภาค 8 ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบและสืบสวนข้อเท็จจริงเช่นกัน ในกรณีถ้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการเฉียบขาด รวมทั้งในกรณีที่เป็นบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่จะต้องสืบสวนและจับกุมดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ส่วนกรณีของผู้เสียหายก็สามารถมาแจ้งข้อเท็จจริง หรือไปฟ้องร้องดำเนินคดีเองก็ได้
สำหรับจังหวัดภูเก็ตเอง ขณะนี้กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆ จะต้องดำเนินการให้ถูกต้องแต่ไม่กระทบกับการท่องเที่ยว ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ให้นโยบายในการดำเนินการ ว่าการดำเนินการอะไรก็ตาม จะต้องเข้าไปให้คำแนะนำในส่วนของผู้ประกอบการ หากไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการไปตามที่ถูกที่ควร เพื่อไม่ให้กระทบกับการท่องเที่ยว
พล.ต.ต.ธีระพล กล่าวต่อไปว่า ในกรณีสถานบันเทิงของจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะป่าตองเคยมีการพูดคุยกันเรื่องเปิดถึงตี 3 แต่มีบางร้านดันเปิดจนถึงตี 5 ซึ่งกรณีดังกล่าวกลายเป็นช่องว่าง ให้ผู้มีอำนาจและผู้กระทำความผิดมีการเรียกรับผลประโยชน์กันได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทราบว่า ขณะนี้ทางจเรตำรวจได้ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เช่นเดียวกับตำรวจภูธรภาค 8 และตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งในเบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกร้องเรียน 5 – 6 นาย ตั้งแต่ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต และนายตำรวจในพื้นที่ป่าตอง ซึ่งขณะนี้มีคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการแล้ว 2 ราย
และวันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร (มค.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวในเฟซบุ๊ก โดยผู้ใช้นามว่า สปอร์ทไลท์ ภูเก็ต (Spotlight Phuket) ว่ามีข้าราชการตำรวจในสังกัด ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจภูธรภาค 8 และหน่วยงานอื่นฯ เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการ และคนต่างด้าว โดยละเว้นไม่กวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าวนั้น กรณีนี้ถ้าหากเป็นความจริงก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งขัดต่อนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ตนในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)ให้กำกับดูแลรับผิดชอบ ด้านความมั่นคง และหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น ได้สั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (บช.ภ.8) และสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงและกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจังตลอดมา ซึ่งได้รับรายงานจาก กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต (บก.ภ.จว.ภูเก็ต) ได้ตรวจพบว่าดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหาต่างด้าว จำนวน 142 ราย ในช่วงวันที่ 1 ต.ค.59 ถึง 31 ต.ค.60 แต่ไม่พบหลักฐานการรับตัวผู้ต้องหาของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต
ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบ แนวทางปฏิบัติของ ตร. กรณีที่คนต่างด้าวตกเป็นผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาในคดีอาญา หรือถึงแก่ความตายโดยผิดธรรมชาติ ตามหนังสือ ตร.ที่ 0029.132/ว.87 ลงวันที่ 12 พ.ย.2558 จึงได้สั่งการให้ กองบังการตำรวจภูธรภาค 8 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงผู้เกี่ยวข้อง ตามคำสั่งที่ 505/2560 ลง 8 พ.ย.60 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ข้าราชการตำรวจ จำนวน 15 คน ประกอบด้วย 1.พ.ต.ท.สมนึก ดำแก้ว สว.(สอบสวน) สภ.กมลา จ.ภูเก็ต 2.พ.ต.ท.สุรชัย จันทร์ณรงค์ สว.(สอบสวน) สภ.กมลา จ.ภูเก็ต 3.พ.ต.ท.บรรดาศักดิ์ ศรีเลิศ สว.(สอบสวน) สภ.สาคู จ.ภูเก็ต 4.พ.ต.ท.หญิง ณัฐธยาช์ สุวรรณพงศ์ สว.(สอบสวน) สภ.เมืองภูเก็ต 5.ร.ต.อ.ประเสริฐ ทองพรหม รอง สว.(สอบสวน) สภ.กมลา 6.ร.ต.อ.นิพนธ์ เต็มสังข์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะรน 7.ร.ต.อ.วิโชติ มีภพ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองกระบี่ ปฎิบัติราชการ รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะทู้ จ.ภูเก็ต 8.ร.ต.อ.วัฒนาทร บำรุงถิ่น รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะทู้ 9.ร.ต.อ.ชาญณรงค์ ประคองเกื้อ รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะรน 10.ร.ต.ท.สวรรยา เอียดตรง รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะทู้ 11.ร.ต.ท.ธนาคาร อุชฌรัศมี รอง สว.(สอบสวน) สภ.สาคู 12.ร.ต.ท.สุระ เลิศไธสง รอง สว.(สอบสวน) สภ.สาคู 13.ร.ต.ท.จุลอัศว์ กิตตินนทิกร รอง สว.(สอบสวน) สภ.สวี จ.ชุมพร ปฏิบัติราชการ รอง สว.(สอบสวน) สภ.สาคู 14.ร.ต.ท.พชรธร จันทร์เอียด รอง สว.(สอบสวน) สภ.สาคู 15.ร.ต.ท.สุวิสิษฐ์ คีรีรักษ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะรน
โดยมี พล.ต.ต.ธีรพล คุปตานนท์ รอง ผบช.ภ.8 เป็นประธานคณะกรรมการฯ สำหรับคดีดังกล่าว เป็นของ สภ.สาคู 26 ราย สภ.กะรน 3 ราย สภ.กระทู้ 43 ราย และ สภ.กมลา 70 ราย รวม 142 ราย
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ยังได้สั่งการให้ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต ระดมกวดขันจับกุมบุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และอยู่เกินระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งมีผลการจับกุม จำนวน 95 คน (ข้อมูล ณ 9 พ.ย.60) พร้อมกันนี้ก็ได้การกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง กวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดตามกฎหมายต่อไป
และในช่วงเช้าวันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณีมีการร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยประชาชนคนภูเก็ต ตรวจสอบความจริงเรื่องตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ตรับส่วย และรีดไถผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว เดือนละกว่า 100 ล้านบาทว่า ล่าสุดตรวจสอบไปทาง พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม รรท.ผบช.ภ.8 ว่า ทาง ภ.จว.ภูเก็ต มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ที่ถูกระบุในหนังสือร้องเรียน กล่าวหาว่า พัวพันส่วยดังกล่าวย้ายออกจากพื้นที่ไปช่วยราชการแล้ว โดยเป็นตำรวจระดับ รองผู้บังคับการ 1 นาย ระดับรองผู้กำกับการ 1 นาย ในสังกัด ภ.จว.ภูเก็ต ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจและความพร้อมในการตรวจสอบ ไม่ให้คนที่ถูกกล่าวหาอยู่ในพื้นที่ ไม่กระทบการทำงานของทีมสืบสวน ทั้งนี้ ยังไม่สามารถระบุว่าตำรวจทั้ง 2 นาย มีความผิด ซึ่งทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติ เข้าไปตรวจสอบร่วมกับทีมสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 8 โดยจะเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ข้อมูล และคาดว่าจะได้ผลการตรวจสอบเร็วๆ นี้ โดยจเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบทุกหน่วยที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งตำรวจท่องเที่ยวด้วย
ทั้งนี้คำสั่ง พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สส.สภ.ป่าตอง ไปช่วยราชการที่ ศปก.ภ.8 อย่างไม่มีกำหนด จนกว่าคณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เรื่องร้องเรียนเรียกเก็บผลประโยชน์กับสถานประกอบการ และส่วยแรงงานเถื่อน มีผลตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.60
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัจจุบันมีการตกลงการจ่ายส่วยรูปแบบใหม่คือ การบริจาคการกุศลเมื่อตำรวจมีการจัดงาน กิจกรรมต่างๆ แทนการจ่ายเงิน พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะตรวจสอบอย่างเต็มที่ หากพบว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใดเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด หรือไม่ว่าจะมีการเรียกรับผลประโยชน์ในรูปแบบใดก็ตาม จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ต้องเรียนประชาชนด้วยว่า การร่วมสนับสนุนภาครัฐในการจัดกิจกรรมต่างๆ นั้นถือเป็นเรื่องของการสนับสนุนภาครัฐ หน่วยงานราชการ ไม่ใช่ส่วยหรือการให้ผลประโยชน์ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิดกฎหมายได้