“บิ๊กโจ๊ก”นำทีมกวาดสินค้าเถื่อน ย่านป่าตองภูเก็ตกว่า 100 ล้านบาท
สุดยอด ตร.“บิ๊กโจ๊ก” ตระเวนกวาดล้างผู้กระทำผิดกฎหมายทุกชนิด ทั้งยาเสพติด หนี้นอกระบบ นอมินี ผู้มีอิทธิพล การพนัน หลบหนีเข้าเมือง ใครไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้อง “บิ๊กโจ๊ก” จัดการให้ทั่วราชอาณาจักร ปลายเดือนที่ผ่านมา เข้าพื้นที่ภูเก็ตอีกรอบ นำทีมลงพื้นที่ซอยบางลา หาดป่าตอง ค้น 28 จุดเป้าหมาย จับลักลอบจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายการค้ากว่า 50,000 ชิ้น ค่ากว่า 100 ล้านบาท
เมื่อคืนวันที่ 26 ตุลาคม 2561 เวลา 20.00 น.เศษ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมด้วย พล.ต.ท.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี รักษาการแทนผบช.ภ.8 พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และ นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการ กองคดี 1 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนตัวแทนลิขสิทธิ์ ลงพื้นที่บริเวณซอยบางลา หาดป่าตอง อ.กะทู้ ภูเก็ต กระจายกำลังออกตรวจค้น 28 จุด ตามเป้าหมายแผนปฏิบัติการกวาดล้างการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อทำการตรวจสอบและจับกุมการลักลอบจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า โดยได้ของกลางเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับคนต่างด้าวที่ประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย
พล.ต.ท.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมุ่งผลการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ โดยศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมฯ ได้ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8, กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8, กองบังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการระดมกวาดล้างสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าตามสถานที่ท่องเที่ยว โดยเน้นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป ตลอดจนที่ปรากฏในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ได้แก่เฟสบุ๊ค, อินสตาแกรม, ไลน์ และข้อมูลที่ได้รับ การร้องเรียนจากประชาชน ตลอดจนจากการสืบสวนทางออนไลน์ พบข้อมูลว่า ตลาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต เป็นสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้ง ชาวไทย และชาวต่างประเทศนิยมมาทานอาหาร และจับจ่ายซื้อสินค้าภายในบริเวณตลาดซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของจังหวัดภูเก็ต ในการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายการค้า จึงได้บูรณาการกำลัง เพื่อเข้าทลายแหล่งจำหน่ายสินค้าจุดเป้าหมาย และดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมือง กล่าวว่า ภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และแน่นอนว่า เมื่อมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก กลุ่มผู้ค้าต่างๆ ได้อาศัยช่องว่างในการนำตรา หรือโลโก้สินค้า โดยเฉพาะแบรนด์เนมต่างๆ เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และลอกเลียนแบบ ทำให้นักท่องเที่ยวหรือผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ รัฐบาลปัจจุบันโดยพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการกำชับในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ การคุ้มครองสิทธิบัตรทางออนไลน์ โดยมีการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
“เข้าใจว่าผู้บริโภคนิยมในส่วนของเครื่องหมายการค้า แต่เรื่องคุณภาพสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องให้ผู้บริโภคเข้าถึงการใช้บริการที่มีคุณภาพ ต้องบอกว่า ณ ปัจจุบัน รัฐบาลไทยและประเทศไทยได้รับการยกเลิกการเป็นประเทศที่ถูกเฝ้าเมองเป็นพิเศษจากประเทศสหรัฐอเมริกา และสถานการณ์การละเมิดลิขสิทธิ์ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการเดินหน้าปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ และการคุ้มครองลิทธิบัตรต่างๆ ยังต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไป” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวและว่า
การดำเนินการในครั้งนี้ ถือว่ามีปริมาณมาก แต่ส่วนหนึ่งแล้วต้องเข้าใจว่าพ่อค้าแม่ค้าต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่าในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการจับกุมไปแล้วได้แก่ เกาะสมุย พัทยา นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งทุกจุดที่เดินทางไปจับกุม และบังคับใช้กฎหมาย ทุกจุดเลิกโดยเด็ดขาด พร้อมกันนี้ยังได้มีการสร้างความเข้าใจกับพ่อค้าแม่ค้าให้ขายสินค้าประเภทอื่นที่มีคุณภาพหรือสินค้าพื้นเมืองแทน ส่วนของบุคคลต่างด้าวได้มีการกำหนดวันสิ้นสุดไปแล้วว่า โอเวอร์เตย์ต้องเป็นศูนย์ การแจ้งบังคับกฎหมายตามมาตรา 38 และต้องเจข้าระบบทั้งหมด ซึ่งการปราบปรามในครั้งนี้คนไทยจะต้องมีที่ยืน
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ซอยบางลา หาดป่าตองในครั้งนี้ ได้มีการตรวจค้นจำนวน 28 จุด ได้ของกลางกว่า 50,000 ชิ้น อาทิ แว่นตาแบรนด์เนม เช่น Rayban, Oakley เป็นต้น กระเป๋าแบรนด์เนม เช่น หลุยส์ วิตตอง, พราด้า, กุชชี่ เป็นต้น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เช่น เสื้อ กางเกง รองเท้า เข็มขัด นาฬิกาหลากหลายยี่ห้อ เช่น Nike, Adidas, Puma, Levi’s, Fila, Onitsuka เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย และจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนหนึ่ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่า “เสนอจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร” ตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 108 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า การปฏิบัติการในครั้งนี้ ศปอส.ตร. ได้ระดมกวาดล้างแหล่งจาหน่ายสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการขยายผลไปยังแหล่งผลิต ผู้ที่นำเข้าจะดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ฝากไปยังผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพ ต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ ๆ หรือการประกาศขายทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, เฟสบุ๊ค หรืออินสตาแกรม หากยังดำเนินการอยู่ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดีขยายผลถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตรการยึดทรัพย์ จากความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและ ปราบปรามฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (13) และมีอัตราโทษจาคุก ตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นความผิดมูลฐานตาม กฎหมายฟอกเงิน เพื่อให้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยหมดไป