“สปีดโบ๊ท”ระเบิด-ชนรับปีจอ นทท.กระโดดหนีตายอลหม่าน
เรือสปีดโบ๊ท บรรทุกนักท่องเที่ยวเต็มลำ เกิดระเบิดไฟลุกท่วม กลางทะเล หน้าถ้ำไวกิ้ง เกาะพีพี ต่างกระโดดทะเลหนีตายอลหม่าน พบล้วนถูกไฟลวกบาดเจ็บจำนวนมาก ลำเลียงส่งโรงพยาบาลทั้งที่กระบี่ และภูเก็ต ว่าเกิดจากน้ำมันรั่ว รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา บินด่วน เยี่ยมผู้บาดเจ็บ กำชับช่วยดูแลนักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บดั่งญาติมิตร เพียงชั่วข้ามคืน สปีดโบ๊ทซิ่งเรือเปล่าออกจากท่ารอยัลมารีน่า เสยสปีดโบ๊ทที่บรรทุกนักท่องเที่ยวเต็มลำขณะกลับเข้าท่า กลางคลองสะปำเจ็บระนาวอีก หลังผู้ว่าฯภูเก็ตประชุมเข้มล้อมคอกอุบัติเหตุทางเรือ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่น คราวนี้อธิบดีเจ้าท่า กับรองผบช.ตร.ท่องเที่ยวลงพื้นที่ตรวจสอบเอง ตร.ตั้งข้อหาประมาททั้งคู่
สปีดโบ๊ท ระเบิดที่ “พีพี”
นทท.เจ็บ-สาหัสระนาว
เมื่อเวลา 11.00 น.เศษ ของวันที่ 14 มกราคม 2561 พ.ต.ท.เชษฐ์พันธ์ วิชัยดิษฐ์ สวญ. สภ.เกาะพีพี กระบี่ ได้รับแจ้งเหตุ เรือสปีทโบ๊ท ถูกไฟไหม้บริเวณหน้าถ้ำไวกิ้ง เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวและผู้โดยสารที่อยู่บนเรือได้รับบาดเจ็บหลายราย จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าท่ากระบี่ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตำรวจน้ำกระบี่ ตำรวจท่องเที่ยวกระบี่ ผู้ประกอบการเกาะพีพี พบที่เกิดเหตุอยู่กลางทะเล ไฟกำลังลุกไหม้เครื่องยนต์และตัวเรืออย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยวโดดน้ำหนีตายอลหม่าน ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้นำผู้บาดเจ็บขึ้นเรือ ลำเลียงส่ง รพ.เกาะพีพี
เรือที่กำลังถูกไฟไหม้ลำดังกล่าว เป็นเรือสปีดโบ๊ท ชื่อ คิงโพไซดอน 959 ขนาด 3 เครื่องยนต์ มีนายเกรียงไกร บุญศรี อายุ 28 ปี เป็นกัปตันเรือ ได้ออกจากท่าเรือ ไทยมอนิ่งซัน เลขที่ 2/25 หมู่ 1 ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เมื่อเวลา 09.30 น.โดยมีลูกเรือรวมกัปตัน นักท่องเที่ยว และไกด์ รวมทั้งหมด 31 คน เป็นชาวไทย 4 คน ไกด์ลีดเดอร์ชาวจีน 1 คน นักท่องเที่ยวชาวจีน 26 คนเป็นผู้ใหญ่ 23 คน เด็ก 3 คน
ปรากฏว่า อุบัติเหตุครั้งนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย ถูกส่งต่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกระบี่ เมื่อเวลา 14.00 น.เศษ คือ นายเกรียงไกร บุญศรี อายุ 28 ปี กัปตันเรือคิงโพไซดอน 959 นายอูเจีย (Aou Jia) อายุ 61ปี และนางสาวซุยซิง (Zui Zing) อายุ 24 ปี
จนกระทั่งเวลา 15.00 น.เศษ ผู้ประกอบการเรือคิงโพไซดอนทราบเหตุ ได้นำเรือลำเลียงผู้บาดเจ็บอีกส่วนหนึ่งมาขึ้นที่ท่าเรือ ไทยมอนิ่งซัน ที่ภูเก็ต ซึ่งตั้งอยู่ ภายในท่าเทียบเรือองค์การสะพานปลาภูเก็ต นำส่งโรงพยาบาลในจังหวัดภูเก็ตจำนวน 4 ราย เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 3 ราย และลูกเรือ 1 ราย ประกอบด้วย 1. MISS.LI MEIHUA อายุ 63 ปี 2.MISS KWANG TEI HONG อายุ 27 ปี นำส่งโรงพยาบาลโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต 3.MS GANLI XIA อายุ 26 ปี นำส่งโรงพยาบาลศูนย์วชิระภูเก็ต 4.นายประหยัด แสงวิมาน อายุ 45 ปี นำส่งโรงพยาบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต
จากนั้นเวลาประมาณ 18.30 น. ได้มีการนำผู้บาดเจ็บชาย และหญิงที่เหลืออีก 2 คน มาขึ้นที่ท่าเรือรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยมี นายประกอบ วงศ์มณีรุ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยว่าที่ ร.ต.วิกรม จากที่ นายอำเภอเมืองภูเก็ต ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต, ตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต, ตำรวจน้ำ, ตำรวจท่องเที่ยว, สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น คอยประสานงาน และอำนวยความสะดวกในการส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลศูนย์วชิระภูเก็ต
ภูเก็ต-กระบี่ สร้างภาพฯ
ยกทีมยี่ยมผู้บาดเจ็บรพ.
ที่จังหวัดภูเก็ต ทันทีที่ผู้ประสบภัยชุดแรกถูกนำเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เมื่อเวลา 17.00 น. นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ และมอบกระเช้าของเยี่ยมแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุครั้งนี้ โดยมี นายแพทย์เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และคณะแพทย์พยาบาล ร่วมให้การต้อนรับ
หลังจากนั้น ทางคณะดังกล่าวได้เดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ โดยมี แพทย์หญิงลลิตา กองสีหา รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต พร้อมด้วย พยาบาลและเจ้าหน้าที่ฯ ร่วมให้การต้อนรับ นักท่องเที่ยวที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ทีมแพทย์ได้ดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนใหญ่เกิดจากแผลไฟไหม้
นายนรภัทร กล่าวขณะเยี่ยมผู้บาดเจ็บว่า เรือ สปีดโบ๊ท ที่เกิดระเบิดครั้งนี้ เป็นเรือที่ออกจากท่าเรือของเอกชน ในจังหวัดภูเก็ต มุ่งหน้าไปยังเกาะพีพี เบื้องต้นทางจังหวัดภูเก็ตได้ให้การดูแลนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด มีการติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง และประสานแจ้งกับทางสถานกงสุลสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดภูเก็ตให้รับทราบถึงอุบัติเหตุดังกล่าว
ด้าน แพทย์หญิง ลลิตา กองสีหา รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต กล่าวว่า นักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต เบื้องต้นสามารถกลับบ้านได้ 1 ราย ส่วนอีก 3 ราย คาดว่าต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไฟไหม้ดูแลอย่างใกล้ชิด ทางโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตมีความยินดีที่จะดูแลนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างดีที่สุด เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยว
ต่อมารุ่งขึ้น (15 มกราคม 2561) พ.ต.ท.หม่อมหลวงกิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนาวาตรีชัยศิริ ขุนดำ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 กระบี่ นายวัฒน เริงสมุทร นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ตำรวจท่องเที่ยวกระบี่ เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกระบี่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกระบี่ ได้เดินทางไปเยี่ยมดูอาการของนักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บ และพักรักษาตัวอยู่ห้องไอซียูโรงพยาบาลกระบี่นครินทร์อินเตอร์เนชั่นแนล อ.เมือง จ.กระบี่ จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย Ms. XU XIN และ Mr.WU ZHI AN สัญชาติ จีน และ นายเกรียงไกร บุญศรี อายุ 28 ปี กับตันเรือ รักษาตัวที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลกระบี่ พร้อมกันนี้ได้มอบกระเช้าเยี่ยมไข้ของ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม และ นายวิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมเจ้าท่า มอบให้แก่ผู้บาดเจ็บทั้ง 3 คนด้วย
ด้าน นายแพทย์สุนทร ฟองฟุ้ง รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกระบี่นครินทร์อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ปิดเผยถึงอาการบาดเจ็บของนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่รักษาอยู่ภายในโรงพยาบาลว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวทั้ง 2 คน ยังคงต้องรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู และต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีบาดแผลถูกไฟลวกตามร่างกายกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แต่โดยภาพรวมอาการบาดเจ็บดีขึ้นตามลำดับ ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี และคาดว่าต้องพักรักษาตัวไม่ต่ำกว่า 20 วัน ส่วนนายเกรียงไกร ยังคงรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู เช่นเดียวกัน
รมว.บินด่วนลงกระบี่
เยี่ยม นทท.ผู้บาดเจ็บ
ต่อมา เวลา 19.30 น.ของวันเดียวกัน นายวีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางเข้าเยี่ยมนักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บที่โรงพยาบาลกระบี่นครินทร์อินเตอร์เนชั่นแนล อ.เมือง จ.กระบี่ จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย Ms. XU XIN และ Mr.WU ZHI AN สัญชาติจีน ส่วน นายเกรียงไกร บุญศรี อายุ 28 ปี กับตันเรือ รักษาตัวที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลกระบี่
นายวีระศักดิ์ กล่าวภายหลังเยี่ยมอาการบาดเจ็บของนักท่องเที่ยวชาวจีน และนายเกรียงไกร กัปตันเรือว่า หลังทราบข่าวที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยว ด้วยความเป็นห่วง ก็ได้ยกเลิกภารกิจทั้งหมด และเดินทางมาดูอาการผู้บาดเจ็บด้วยตนเอง ในเบื้องต้นพบว่านักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บอยู่ในระดับ 2 มีบาดแผลถูกไฟลวกตามผิวหนัง ประมาณ 30-50 เปอร์เซ็นต์ ต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ได้สั่งกำชับให้ดูแลนักท่องเที่ยวทุกคนที่ประสบเหตุดุจญาติมิตร
ส่วนในเรื่องของคดี เจ้าหน้าที่ต้องรอสอบปากคำ ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กับตันเรือ คือ นายเกรียงไกร ซึ่งขณะนี้ อาการสาหัส ยังคง รักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลกระบี่ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ ทางเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเดินทางไปตรวจสอบจุดที่เกิดเหตุ เพื่อหาสาเหตุของการเกิดไฟลุกไหม้ครั้งนี้ต่อไป สำหรับ ผู้บาดเจ็บสาหัสที่ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาล รวม 8 คน จากทั้งหมด 16 คน
ตร.เผยคดียังสรุปไม่ได้
กัปตันเจ็บหนักอยู่ ICU
ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.บุญทวี โตรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ก็เดินทางเข้าเยี่ยมอาการของผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลกระบี่ และกล่าวว่า ในเบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดตั้งแต่บริษัทนำเที่ยวจนถึงผู้ประกอบการ เนื่องจากที่ผ่านมาได้เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เสียภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัด ทั้งที่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น เท่าที่ได้รับรายงานทราบว่า เกิดจากน้ำมันรั่ว
ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงาสนสอบสวน ในเบื้องต้นแจ้งความดำเนินคดีกับนายเกรียงไกร (กัปตันเรือ) ในข้อหากระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ และบาดเจ็บสาหัส แต่ยังไม่สามารถสอบปากคำได้เนื่องจากกัปตันเรือได้รับบาดเจ็บสาหัส และพักรักษาตัวอยู่ให้ห้องไอซียู รอให้อาการดีขึ้นจะได้สอบสวนข้อเท็จจริง และดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
ด้าน นายสุพจน์ ล้อมลิ้ม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี กล่าวว่า เรือสปีดโบ๊ทลำที่เกิดเหตุได้จมลงใต้ทะเล บริเวณที่เกิดไฟไหม้ ในเบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่นำทุ่นไปผูกไว้ เพื่อแจ้งเตือนให้เรือที่ผ่านไปมาบริเวณดังกล่าว เพิ่มความระมัดระวัง พร้อมประสานผู้ประกอบการเข้าทำการกู้ซากเรือออกจากพื้นที่ต่อไป
ภูเก็ตเรียกประชุมด่วน
วางมาตรการล้อมคอก
ต่อมาเมื่อเวลา 08.00 น.ของวันที่ 15 มกราคม 2561 ที่ห้องรับรอง จวนผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าฯได้เรียกประชุมหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นการสรุปปัญหา และวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก รวมทั้งวางระบบช่วยเหลือนักท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด เนื่องจากหลังเกิดเหตุที่ผ่านมา พบว่ามีปัญหาในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของการประสานงานการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว รวมทั้งรายชื่อนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปกับเรือ เรื่องการประสานงานระหว่างหน่วยงานราชการด้วยกัน ซึ่งเป็นหาที่จะต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะมาตรการในการแก้ไขปัญหาของเรือท่องเที่ยวที่ออกจากท่าเรือเอกชน
จากการประชุมทราบว่าเรือที่เกิดเหตุเป็นเรือที่ออกจากท่าเรือไทยมอร์นิ่งซัน ซึ่งเป็นท่าเรือฝากกับท่าเรือเอกชนรายอื่น และเป็นท่าเรือขนาดเล็ก ตรวจสอบพบว่ากำลังอยู่ระหว่างการขออนุญาตจัดทั้งท่าเรือ ท่าเรือแห่งนี้จึงเป็นท่าเรือฝาก ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตอนปล่อยเรือ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการเพิ่มมาตรการในการดำเนินการ และมอบหมายให้เจ้าท่าไปดำเนินการแล้ว รวมทั้งให้สำรวจท่าเรือเอกชนทั้งหมดในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อกำหนดมาตรการในการจัดการ ทางจังหวัดภูเก็ตไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะเรือท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะออกจากท่าเรือภูเก็ต
ผู้ว่าฯ บอกมาตรการมี
แต่บางบริษัทไม่สน
นายนรภัทร กล่าวว่า สิ่งที่จังหวัดทำเพื่อกำหนดเป็นมาตรการในการป้องกันเหตุก่อนหน้านี้ ได้มอบหมายให้ทางดีป้า ดำเนินการคือการสร้างโปรแกรมสำหรับแจ้งรายชื่อนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปกับทางเรือท่องเที่ยวของแต่ละบริษัท ซึ่งรายชื่อเหล่านี้ทั้งในส่วนของภาคเอกชน และหน่วยงานราชการจะทราบเหมือนกัน และสามารถที่จะส่งรายชื่อจากต้นทางไปให้ปลายทางได้ทันที ว่านักท่องเที่ยวเดินทางไปกี่คน มีใครบ้าง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำให้ทราบชื่อและจำนวนผู้โดยสารทันที แต่กรณีนี้พบว่า มีปัญหาเกิดขึ้น รายชื่อผู้บาดเจ็บ รายชื่อนักท่องเที่ยวไม่ตรงกัน หรือแม้แต่จำนวน
นายนรภัทร กล่าวต่อว่า กรณีการสร้างโปรแกรมแจ้งชื่อ ทำมาระยะหนึ่งแล้ว บางบริษัทก็โหลดไปใช้ แต่บางบริษัทยังไม่สนใจที่จะเข้าร่วม กรณีของบริษัทที่ส่งนักท่องเที่ยวไปทางท่าเรือของรัฐนั้น ได้มีการบังคับให้กรอกชื่อเอง แจ้งรายชื่อเข้าสู้ระบบ ซึ่งจะทำให้ทราบจำนวน และชื่อนักท่องเที่ยวทันที เมื่อเกิดเหตุขึ้น แต่กรณีที่ส่งนักท่องเที่ยวไปขึ้นลงเรือที่ท่าเรือเอกชนพบว่าส่วนใหญ่ยังไม่ดำเนินการ โดยวันนี้จะมีการประชุมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการอีกครั้ง หากบริษัทไหนไม่ให้ความร่วมมือก็จะต้องมีมาตรการในการจัดการต่อไป
ส่วนสาเหตุที่หลายๆ บริษัท ไม่สนใจเข้าร่วมโปรแกรมการแจ้งชื่อนักท่องเที่ยว คิดว่ามีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องของความไม่พร้อม ถ้าไม่พร้อมก็อาจจะต้องให้เวลาบ้าง แต่ถ้าไม่แจ้งเพราะต้องการเลี่ยงภาษีก็จะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และ เร็วๆ นี้ตนจะลงไปหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่เพื่อกำหนดมาตรการร่วมกันในการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางทะเลอีก
ส่วนกรณีการตรวจสภาพเรือนั้น เดิมจะมีการตรวจสภาพเรือปีละครั้ง แต่จังหวัดภูเก็ตไม่เหมือนกับจังหวัดอื่น เพราะมีความถี่ในการใช้เรือมาก แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวใช้บริการเรือเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวตามเกาะแก่งต่างๆหลายพันคน การตรวจเรือจึงจะต้องเพิ่มความถี่มากขึ้น
เรื่องนี้ ได้ขอให้เจ้าท่ากำหนดระยะเวลาในการตรวจเรือจากปีละครั้งมาเป็น 6 เดือนครั้ง ทั้งเรื่องของเครื่องยนต์ต่างๆ และเรื่องของความแข็งแรงของเรือ เนื่องจากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุล่าสุดในเบื้องต้นมีการระบุว่า ก่อนเกิดเหตุมีน้ำมันรั่วที่เครื่องยนต์ หลังจากนั้นก็มีไฟสปาร์ค ขึ้นจนเป็นเหตุให้เรือระเบิด และไฟไหม้ดังกล่าว ส่วนสาเหตุที่แท้จริงคงจะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบต่อไป
ตรวจท่าเรือไทยมอนิ่งซัน
ไม่แจ้งชื่อนทท.เข้าระบบ
อย่างไรก็ตาม หลังจากการประชุมเสร็จ นายนรภัทร พร้อมคณะได้เดินทางลงไปยัง ท่าเรือไทยมอร์นิ่งซัน เพื่อตรวจสอบการบริหารจัดการ การส่งนักท่องเที่ยวลงเรือ ซึ่งพบว่าวันนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางตามปกติ โดยมีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ตลงพื้นที่ตรวจสอบเรือเข้าออกที่จุดดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่า มีการทำระบบรายชื่อนักท่องเที่ยว แต่ไม่มีการแจ้งเข้าระบบตามที่กำหนดแต่อย่างใด โดยผู้ว่าฯได้ย้ำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการให้ถูกต้องและจะต้องเก็บรายชื่อนักท่องเที่ยวทั้งหมด ไว้ในระบบให้ถูกต้อง ก่อนที่จะปล่อยเรือแต่ละลำออกไป
ด้าน นายเจริญ แก้วยอดหล้า ที่ปรึกษาไทยมอนิ่งซั่น ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของท่าเรือและเจ้าของเรือ กล่าวว่า เรือลำนี้ทำประกันภัยแบบ พ.ร.บ.ไว้ ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตทางบริษัทประกันจะจ่ายเงินให้ 1 แสนบาท กรณีบาดเจ็บรายละ 50,000 บาท ส่วนการดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีอุบัติเหตุเมื่อวาน พร้อมที่จะดูแลอย่างเต็มที่ และได้ให้การช่วยเหลือดูแลมาตั้งแต่เมื่อวาน และ เราพร้อมอย่างยิ่งที่จะดูแลนักท่องเที่ยวให้ได้รับความพึงพอใจมากที่สุด
คปภ.เผยเรือมีประกัน
กับ “วิริยะประกันภัย”
ขณะที่ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเรือสปีดโบ้ท คิงโพไซดอน 959 ประสบอุบัติเหตุเครื่องยนต์ระเบิดและเกิดเพลิงไหม้บริเวณหน้าถ้ำไวกิ้ง จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 14 ม.ค. สำนักงาน คปภ. ได้เร่งตรวจสอบข้อมูลในเรื่องนี้ พบว่า ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 73 (พ.ศ.2549) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 กำหนดให้เจ้าของเรือหรือผู้ประกอบการเดินเรือสำหรับโดยสารต้องจัดให้มีการประกันภัยคุ้มครองผู้โดยสารในเบื้องต้น นอกจากนี้ ตามกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. 2556 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องมีสำเนากรมธรรม์ประประกันภัย ประกันอุบัติเหตุให้กับนักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยว ในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าขณะเกิดเหตุเรือลำดังกล่าวได้ทำประกันภัยความคุ้มครองไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตามกรมธรรม์เลขที่ 08628-17701/POL/00425-501 เริ่มระยะเวลาความคุ้มครองวันที่ 14 มีนาคม 2560 สิ้นสุดวันที่ 14 มีนาคม 2561 โดยให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพสิ้นเชิง จำนวน 100,000 บาท ต่อคน และกรณีบาดเจ็บจะได้รับ ค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาทต่อคน รวมทั้งเรือลำนี้ได้ทำประกันภัยสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ไว้กับบริษัท สยามซิตี้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตามกรมธรรม์เลขที่ PU1-17-PTAE-00203 เริ่มระยะเวลาความคุ้มครองวันที่ 28 ธันวาคม 2560 สิ้นสุดวันที่ 28 ธันวาคม 2561 โดยให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพสิ้นเชิง จำนวนเงินเอาประกันภัย 1,000,000 บาท ต่อคน และกรณีบาดเจ็บจะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 500,000 บาทต่อคน
ผู้ว่าฯ กระบี่ประชุมด่วน
ผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว
ทางด้านการดำเนินการของจังหวัดกระบี่ เจ้าของพื้นที่เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 ที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่ พ.ต.ท.มล.กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานการประชุมผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว ผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อกำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน มาตรการก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น และสร้างความมั่นใจ แก่นักท่องเที่ยว พร้อมทั้งมีการจัดตั้งศูนย์กระจายข้อมูลข่าวสาร ในการทำหน้าที่ในการกระจายข่าวเหตุการณ์ ให้มีความถูกต้อง ผ่านระบบการสื่อสารต่างๆ ให้มีข้อมูลไปในทิศเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนก่อให้เกิดความเสียหาย
ตรวจพิสูจน์ซากเรือ
หาสาเหตุการระเบิด
จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และซากเรือ พ.ต.ท.อนุรักษ์ ปริญญาสถิรกุล สว. ส.รน.1 กก.9 บก. นายสุรศักดิ์ มงคลชัยสิทธิ์ เจ้าพนักงานขนส่งชำนาญงาน สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมนักประดาน้ำ เข้าสำรวจ ซากเรือ คิงโพไซดอน 959 ที่บริเวณหน้าถ้ำไวกิ้ง เกาะพีพี เล หมู่ 7 ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี หลังเกิดเหตุเครื่องยนต์ระเบิด และเกิดเพลิงลุกไม้ วอดทั้งลำ มีผู้บาดเจ็บหลายราย สาหัส 6 ราย ก่อนจมลงทะเล
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบ ว่าชิ้นส่วน ซากเรือ เป็นพื้นและช่วงหัวเรือและซากเครื่องยนต์ที่หลงเหลือจากร่องรอยถูกไฟไหม้ รวม 3 เครื่องยนต์ ถูกคลื่นซัดลอยไปติดโขดหิน ริมเขา หน้าถ้ำไวกิ้ง ห่างจากจุดเกิดเหตุ ประมาณ 200 เมตร เจ้าหน้าที่ พยายาม กู้ขึ้นมา เพื่อลากไปตรวจสอบบนฝั่ง ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากคลื่นลมแรง เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการวางแผน ให้นักประดาน้ำ เตรียมผูกทุ่นที่ซากเรือ เพื่อลากไปตรวจสอบหาหลักฐานต่อไป
ด้านความคืบหน้าคดี พ.ต.ท.เชษฐพันธ์ วิชัยดิษฐ์ สวญ.สภ.เกาะพีพี กล่าว่า อยู่ระหว่างการพิสูจน์เครื่องยนต์เรือซึ่งเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ หาสาเหตุเรือเกิดไฟไหม้ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เรือ ขนาด 250 ซีซี 3 เครื่อง ต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบเครื่องยนต์ที่ลากมาอย่างละเอียดก่อน แต่เบื้องต้นพนักงานสอบสวน เตรียมตั้งข้อหาประมาทกับคนขับเรือและพนักงานในเรือ เพราะหลังสอบปากคำทุกคนในเรือให้การตรงกันว่า ช่วงก่อนเกิดเหตุคนขับเรือรู้ว่ามีกลิ่นน้ำมันลอยออกมา แต่ยังขับเรือต่อไป แม้จะพยายามหาสาเหตุของกลิ่นน้ำมัน แต่ตำรวจระบุว่า ตามหลักการหากพบความผิดปกติและไม่สามารถแก้ไขได้ทันที ควรหาเรือมาสับเปลี่ยนนักท่องเที่ยวก่อน
ขณะที่ส่วนความเป็นไปได้สาเหตุที่จะทำให้เรือระเบิด จากข้อมูลก่อนหน้านี้ระบุว่า เรือระเบิดเพราะถังน้ำมันรั่ว ด้านผู้เชี่ยวชาญเรือสปีดโบ๊ต ระบุว่า โอกาสที่ถังน้ำมันจะรั่วแม้จะเป็นไปได้น้อย แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้น โดยปัจจัยที่จะทำให้ถังน้ำมันรั่ว นอกจากการเรือถูกคลื่นขนาดใหญ่ซัดเรือ ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ หากผู้ดูแลเรือไม่ล็อคถังน้ำมันให้แน่นก่อนออกเดินเรือ และอาจเกิดจากสายน้ำมันรั่ว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการไม่ดูแลรักษา หรือไม่ได้ซ่อมบำรุงเมื่อถึงเวลา
ทางด้านเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานที่เข้าตรวจสอบซากเรือ กล่าวว่า การตรวจสอบสาเหตุเรือระเบิดยากพอสมควร เนื่องจากซากเรือส่วนใหญ่ลอยไปกับน้ำหมดแล้ว โดยเฉพาะตัวถังน้ำมัน สายน้ำมัน หรือสายไฟต่างๆ การตรวจสอบหลังจากนี้อาจต้องเทียบเคียงกับเรือที่ใกล้เคียงกัน
สปีดโบ๊ทซิ่งชนอีก
ปากทางเข้าท่ารอยัล
ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 16 มกราคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต ได้รับแจ้งว่า เกิดเหตุเรือสปีดโบ๊ทชนกันบริเวณลำคลองอ่าวสะปำ ปากทางเข้าท่าเทียบเรือรอยัลภูเก็ตมารีน่า ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังรับแจ้ง ร.ต.ท.สุนันท์ เพชรหนู รองสว.(สอบสวน)สภ.เมืองภูเก็ต ได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ศูนย์นเรนทรภูเก็ต และมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ก่อนเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.เสริมพันธุ์ สิริคง รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พ.ต.อ.กมล โอศิริ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต, พ.ต.อ. สุเทพ โตอิ้ม ผกก.กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจน้ำ พ.ต.ต.เอกชัย ศิริ สว.ตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต นายสาคร ปู่ดำ ตัวแทนเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ต เจ้าหน้าที่สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่บริเวณท่าเทียบเรือรอยัลภูเก็ตมารีน่า เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ประสบอุบัติเหตุทั้งหมดนำส่งโรงพยาบาล
ที่บริเวณท่าเทียบเรือดังกล่าว พบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งซึ่งมีทั้งอาการปกติและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โดยมีเรือสปีดโบ๊ทที่ผ่านมาประสบเหตุนำกลับเข้าฝั่ง เจ้าหน้าที่กำลังสอบถามรายละเอียดและคัดกรองผู้บาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล ต่อจากนั้นก็มีการนำนักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บปานกลางซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชายชาวต่างชาติซึ่งมีบาดแผลบริษัทศรีษะยังไม่ทราบสัญชาติขึ้นรถพยาบาลส่งโรงพยาบาลสิริโรจน์ และลูกเรือชาวไทยซึ่งได้รับบาดเจ็บบริเวณศรีษะเช่นกัน นำส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต นักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บเล็กน้อยถูกนำส่งโรงพยาบาลสิริโรจน์ภูเก็ตอีก 8 คน เป็นนักท่องเที่ยวชาย 2 คน และนักท่องเที่ยวหญิง 6 คน ส่วนผู้ไม่ได้รับบาดเจ็บทางบริษัทนำเที่ยวได้นำกลับไปขึ้นเรือครุยส์ที่อ่าวป่าตอง ซึ่งมีกำหนดเดินทางออกจากภูเก็ตในวันที่ 17 มกราคม 2561
จากการสอบถาม ทราบว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เดินทางมาท่องเที่ยวที่จ.ภูเก็ต ด้วยเรือสำราญขนาดใหญ่ ชื่อ คอสต้า ครุยส์ วิคตอเรีย เข้ามาจอดลอยลำอยู่ที่บริเวณหน้าอ่าวป่าตอง เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (16 ม.ค.61) มีการแบ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต และอ่าวพังงา ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีจำนวน 29 คน ได้เดินทางมาขึ้นเรือสปีดโบ๊ทชื่อ สตกมล 333 ที่ท่าเรือรอยัลภูเก็ตมารีน่า เกาะแก้ว มี นายอนุชา งานแข็ง อายุ 49 ปี เป็นกัปตันเรือ เพื่อเดินทางไปเที่ยวอ่าวพังงา และกำลังเดินทางกลับในช่วงบ่าย ก่อนจะถึงท่าเทียบเรือรอยัลภูเก็ตมารีน่าเล็กน้อย ได้มีเรือพิมรชา 5 ซึ่งมี นายอรัญ ช่วยการกล้า อายุ 22 ปี เป็นกัปตันเรือ และมีลูกเรืออีก 2 คน นำเรือออกจากท่าเรือเดียวกันเพื่อกลับไปจอดที่บริเวณอ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง หลังส่งนักท่องเที่ยวเสร็จแล้ว แต่เมื่อถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นลำคลองในช่วงที่มีความคดเคี้ยว ได้เกิดเฉี่ยวชนกันขึ้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการป้องกันอุบัติเหตุทางทะเล ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายนรภัทร ปลอดทอง ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการในการป้องกันไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค.61 เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว แต่วันนี้ก็มีเกิดอุบัติเหตุขึ้นและมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย
ตร.ตั้งข้อหากัปตัน
ขับเรือประมาททั้งคู่
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2561 พ.ต.อ.กมล โอศิริ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต กล่าวว่า ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวน สภ.เมืองภูเก็ต ได้ควบคุม นายอนุชา งานแข็ง กัปตันเรือสตกมล และ นายอรัญ ช่วยการกล้า กัปตันเรือพิมพ์รชา สอบปากคำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง โดยเบื้องต้น ทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาคนขับเรือทั้ง 2 คน กระทำการโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ซึ่งขณะเกิดเหตุเรือทั้ง 2 ลำ ขับมาด้วยความเร็ว และเป็นช่วงที่น้ำลงทำให้ร่องน้ำแคบ ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
สำหรับเรือสปีดโบ๊ตชื่อ สตกมล 333 บรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 34 คน นักท่องเที่ยว 30 คน ไกด์คนไทย 1 คน เด็กเรือ 2 คน กัปตันเรือ 1 คน นักท่องเที่ยวทั้งหมดสัญชาติอิตาลี ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวโดยเรือสำราญ COSTA CRUISE ส่วนเรือพิมพ์รชา ซึ่งเป็นเรือเปล่า มีกัปตันเรือ 1 คน เด็กเรือ 2 คน
ส่วนนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บ 8 คน ไกด์ไทย 1 คน และลูกเรือ 1 คน รวมทั้งหมด 10 คน นักท่องเที่ยว และไกด์ไทย จำนวน 9 คน ส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสิริโรจน์ ออกจากโรงพยาบาลทั้งหมดแล้ว ส่วนลูกเรือคนไทย คือ นายวิจิตร เกิดทรัพย์ อายุ 44 ปี มีอาการหน้าบวม ปวดหลัง แผลฉีกขาดบริเวณหู ยังคงรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต โดยบริษัททัวร์มีประกันของบริษัทประกันคุ้มภัย วงเงินค่ารักษาพยาบาล 500,000 บาท/คน
อธิบดีเจ้าท่าลงพื้นที่
ร่วมตร.ดูสภาพเรือฯ
ต่อมา เมื่อเวลา 10.30 น.ของวันที่ 18 มกราคม 2561 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมเจ้าท่า พร้อมด้วย พล.ต.ต สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บังคับการตำรวจการท่องเที่ยว พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เจ้าท่าภูเก็ต และหน่วยงานท่องเที่ยว ลงพื้นที่ตรวจสอบเรือ สปีดโบ๊ท 2 ลำ ที่ชนกัน ใกล้กับทางเข้าท่าเรือรอยัล มารีน่า ภูเก็ต ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยขณะนี้เรือทั้ง 2 ลำ จอดขึ้นคานอยู่ ที่ท่าเรือโบ๊ทลากูน
จากการตรวจสอบพบว่า เรือ สตกมล 333 ซึ่งเป็นเรือที่บรรทุกนักท่องเที่ยวมาส่งที่ท่าเทียบเรือรอยัลมารีน่า และ ถูกเรือ พิมรชา ที่ส่งนักท่องเที่ยวเสร็จ และกำลังขับเรือออกไปชน ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณกราบเรือ และภายในเรือ ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต ได้แจ้งข้อกล่าวหากับคนขับเรือทั้ง 2 รายแล้ว ในข้อหา กระทำการโดยประมาท ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า เดินทางมามาตรวจสอบสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ฝั่งพังงา กระบี่ และ ภูเก็ต ซึ่งมีการใช้บริการเรือสปีดโบ๊ทเป็นจำนวนมาก โดยมีเรือที่จดทะเบียนจำนวนกว่า 1,800 ลำ ดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ จึงได้มีการบูรณาการร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว และ ตำรวจในพื้นที่ รวมถึงการพูดคุยกับผู้ประกอบการ เพื่อให้มีความระมัดระวังในการให้บริการ
ในส่วนของเรือนั้นจะต้องมีการตรวจสภาพเรือปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และ ในระหว่างวงรอบ ทางผู้ประกอบการเองก็จะต้องมีการดูแลบำรุงรักษา เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ทั้งความพร้อมของเครื่องยนต์ ท่อส่งน้ำมันต่างๆ และ อุปกรณ์ในการช่วยชีวิต ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะมีการตรวจเข้มข้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพตัวเรือ ใบประกาศนายท้ายเรือ รวมทั้งจัดให้มีการอบรมพนักงานเรือให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย
ส่วนกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน ของเรือสปีดโบ๊ท อันเป็นปัญหามาจากร่องน้ำที่มีความตื้นเขินโดยเฉพาะในช่วงน้ำลง ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการนำเรือเข้ามาเพื่อส่งนักท่องเที่ยวพอดี ในช่วงที่นำเรือเข้ามา และเคยมีการขอเพื่อขุดลอกร่องน้ำให้ลึกขึ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายจิรุตม์ กล่าวว่า ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน และหากสามารถดำเนินการได้ทางเจ้าท่าฯ ก็พร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการ โดยประสานกับทางสิ่งแวดล้อมในการเข้าดำเนินการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในการดำเนินการ
แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขคือ เรื่องของปัญหาของคนกับเรื่อง โดยเฉพาะในส่วนของคน ถ้าคนขับเรื่อมีความระมัดระวัง และคำนึงถึงเรื่องของความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวสูงสุด เชื่อว่าการเกิดอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ทางผู้ประกอบการจะต้องคำนึงให้มากที่สุด และการรับคนเข้าทำงานจะต้องดูในเรื่องของวุฒิภาวะด้วย
รองผบช.ตร.ท่องเที่ยวย้ำ
อุบัติเหตุเรือต้องไม่เกิดอีก
ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า สิ่งสำคัญนอกจากเรื่องเรือ คือ เรื่องคน เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการเรือจะต้องมีความรับผิดชอบ และ มีจิตสำนึกในการจ้างคนขับเรือ ที่มีประสบการณ์ความรู้ โดยจากนี้ไปการบังคับใช้กฎหมายจะต้องเข้มงวดทุกส่วน ทั้งเรื่องคน เรื่องเรือ
โดยกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจะบูรณาการ กับกรมเจ้าท่า ตำรวจพื้นที่และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจเรือในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญทางทะเลทุกจังหวัด ทั้งนี้ผู้ประกอบการทุกรายจะต้องเน้นในเรื่องของความปลอดภัยอย่างสูงสุด และให้เรื่องของผลกำไรขาดทุนเป็นเรื่องรอง
“ต่อจากนี้จะต้องไม่มีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเรือเกิดขึ้นอีก แต่หากเกิดขึ้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ และพนักงานเรือ อาจถึงขั้นการพักใบอนุญาต ถ้าหากเจ้าของเรือรับคนเข้ามาทำงานโดยไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีความรับผิดชอบ ตัวผู้ประกอบการก็จะต้องรับผิดชอบกับความผิดที่เกิดขึ้น เพราะเราต้องสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัยให้ได้ อุบัติเหตุทางเรือจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าว
2 จังหวัดเร่งล้อมคอก
อุบัติเหตุ “สปีดโบ๊ท”
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2561 เวลา 11.00 น.นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นายสนิท ศรีวิหค รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต, นายกองโทอดุลย์ ชูทอง นายอำเภอถลาง, นางศิรวี วาเล๊าะ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดภูเก็ต, นายประพันธ์ ขันธ์พระแสง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต, นางบุษยา ใจเปี่ยม ประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต, นายสาคร ปู่ดำ นักวิชาการ ขนส่งทางน้ำชำนาญการ สำนักงานเจ้าท่า ภูมิภาคสาขาภูเก็ต, พ.ต.อ.สุเทพ โตอิ้ม ผู้กำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจน้ำ, ร.ต.ท.ดุสิทธิ์ วรรณบวร รองสารวัตรท่องเที่ยว ภูเก็ต, นายประชา อัศวธีระ ผู้จัดการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภูเก็ต, นายกิตติ จิตต์ซื่อ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ตำบลป่าคลอง อำเภอถลาง นายประสิทธิ์ กุลพ่อ สารวัตรกำนันตำบลป่าคลอก และสื่อมวลชน ร่วม 33 คน เดินทางลงเรือเพชรสุรินทร์ ออกจากท่าเทียบเรืออ่าวปอ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพื่อเดินทางไปยังเกาะพีพีจังหวัดกระบี่ ในการประชุมหารือมาตรการด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวทางทะเลร่วมกับจังหวัดกระบี่เพื่อวางแนวทางความร่วมมือในการสนับสนุนและขับเคลื่อนมาตรการด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวทางทะเลให้มีความเข้มข้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยในส่วนของจังหวัดกระบี่ มี ว่าที่ร้อยตรี อภินันท์ เผือกผ่อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วย พล.ต.ต.บุญทวี โตรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดกระบี่ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมหารือพร้อมรายงานข้อมูลด้านการบริหารจัดการเรือและสถานการณ์การท่องเที่ยว ในพื้นที่จังหวัดกระบี่
โอกาสนี้ ว่าที่ร้อยตรี อภินันท์ เผือกผ่อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ปัจจุบัน เรือสปีดโบ้ท มีการจดทะเบียนในจังหวัดกระบี่จำนวน 500 ลำ และมีการจดทะเบียนในจังหวัดภูเก็ตจำนวน 2,000 ลำ ซึ่งเรือจากภูเก็ตเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่กระบี่ 1,000 ลำ ทำให้ทุกวันจะมีเรือเข้ามาในกระบี่ประมาณ 1,500 ลำ ทั้งนี้จังหวัดกระบี่มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่จังหวัด ที่เกาะพีพี และเกาะลันตา พร้อมมีระบบไฟล์เสียงเพื่อบอกแนวทางการปฏิบัติตนในการโดยสารเรือ และจะตรวจเรือทุกลำที่ออกจากกระบี่
สำหรับการประชุมในวันนี้ทั้ง 2 จังหวัดได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อนำข้อมูลไปสู่การวางแผนบริหารจัดการเรือ การจอดเรือ การให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเลให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้มีการสรุปผลจากการเกิดอุบัติเหตุเครื่องยนต์เรือสปีดโบ๊ทไฟไหม้บริเวณหน้าถ้ำไวกิ้ง ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราหมู่เกาะพีพีเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2561 ด้วย
ในเรื่องนี้ พล.ต.ต.บุญทวี โตรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า อยากให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมาย การตรวจสมรรถนะของเรือ ความพร้อมของกัปตัน ลูกเรือ หากเรือไม่พร้อมไม่ปลอดภัย ต้องไม่อนุญาตให้ออกจากท่าเทียบเรือ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำ