“หาดฟรีดอม”บานปลาย มีเจ้าของดั้งเดิมโผล่ขอคืน
ทายาทผู้ครอบครองที่ดิน “หาดฟรีดอม” 2 แปลงดั้งเดิม เนื้อที่กว่า 65 ไร่โผล่ เปิดแถลงข่าวเรียกร้องขอที่ดินคืน ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอด มีผลอาสิน อ้างถูกหลอกเอาที่ดินไปออกโฉนด หลังทำสัญญาซื้อขายที่ดิน 150 ล้านบาท แต่จ่ายแค่เงินมัดจับ 5 แสนบาท พร้อมข่มขู่ต่างๆนานา และขับไล่ออกจากพื้นที่
เมื่อบ่ายวันที่ 12 พฤษภาคม 2560 เวลา 13.30 น. นางสาวพีร์ธรัศม์ (ยุพิน) หูตาชัย อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55/265 ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วย นายประดิษฐ์ ช่วยธานี ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เรียกร้องคัดค้าน การขอออกโฉนดหาดฟรีดอม ทั้ง 2 แปลง 65 ไร่ ตั้งอยู่ ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ที่ห้องนนทรี โรงแรมภูเก็ต เมอร์ลิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต
นายประดิษฐ์ ช่วยธานี ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ชี้แจงความเป็นมาของการออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนในครั้งนี้ว่า นางสาวพีร์ธรัศม์ (ยุพิน) หูตาชัย เป็นทายาทคนเดียวของผู้ครอบครองที่ดิน จำนวน 2 แปลง ที่หาดฟรีดอมดังกล่าว ที่ขณะนี้ได้มีการออกโฉนดไปแล้ว ต้องการที่จะขอความเป็นธรรม เพราะการออกโฉนดดังกล่าว ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกหลอกลวง อยากที่จะได้ที่ดินทั้งสองแปลงกลับคืนมาเป็นของตน และหากไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ ก็อยากให้ที่ดินดังกล่าวคืนเป็นที่หลวง หรือที่ป่าไม่ต่อไป คือโฉนดเลขที่ 98414, 98415 เลขที่ดิน 1, 2 ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต
โดย นางสาวพีร์ธรัศม์ เป็นบุตรของ นางตา หูตาชัย เจ้าของผู้ครอบครองที่ดินมือเปล่าทั้ง 2 แปลงดังกล่าว เนื้อที่ 65 ไร่เศษ คือ 34-3-87 ไร่ และ 19-3-0.04 ไร่ โดย บิดามารดาของ นางสาวพีร์ธรัศม์ คือ นายประสงค์และนางตา หูตาชัย และบริวาร ได้ครอบครองที่ดินทั้ง 2 แปลง ต่อจากบรรพบุรุษรุ่นตาและยาย ที่สืบทอดกันมาอย่างเปิดเผยจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 76 ปี โดยได้เริ่มครอบครองมาตั้งแต่ปี 2485 ด้วยการปลูกพืชชนิดต่างๆ และเก็บผลอาสินที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั้งในปลายเดือนเมษายน 2554 นางตา มารดาของนางสาวพีร์ธรัศม์ได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต เพราะสืบทราบว่า นายเอกชัย แซ่อิ๋ว และนายวิโรจน์ คงแก้ว ได้นำที่ดินแปลงดังกล่าว ไปยื่นขอออกโฉนดกับสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต และทางสำนักงานที่ดินภูเก็ตได้ออกโฉนดให้แก่ นายเอกชัยฯ และนายวิโรจน์ฯ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ทำให้นางตา หูตาชัย ได้มอบอำนาจให้นางสาวพีร์ธรัศม์ ฟ้องดำเนินคดีกับผู้ทีมีชื่ออยู่ในโฉนดทั้ง 2 คน ในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดเพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ เป็นคดีของศาลจังหวัดภูเก็ต คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 424/2555 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ออกโดยมิชอบ พร้อมคืนโฉนดให้แก่สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตออกโฉนดใหม่ให้เป็นชื่อนางตา หูตาชัย เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ นอกจากนั้นยังห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวขัดขวางการเพิกถอนโฉนดทั้งสองแปลง และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านบาทไว้ด้วย คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการจำหน่ายคดีชั่วคราว เพื่อรอผลการพิจารณาเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง
ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวนั้น ได้มีนายหน้าขายที่ดินรายหนึ่ง ได้มาติดต่อกับนางตา เพื่อนำที่ดินไปขาย ซึ่งตกลงกำหนดราคาเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วมีมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท นายหน้าขายที่ดินได้ออกอุบายนำเสนอว่า ที่ดินเป็นเพียงที่ดินมือเปล่า ไม่มีความน่าเชื่อถือ หากนำไปออกโฉนดได้ จะมีราคาดีกว่า และนำออกขายเป็นที่สนใจแก่ผู้ซื้อได้ง่ายกว่า ในขณะนั้นมีผู้ซื้อหลายรายมีความสนใจจะซื้อที่ดินทั้งสองแปลงนี้ จึงขออาสาเอาที่ดินไปออกโฉนดให้ ภายหลังจากการขายที่ดินแล้ว จะนำเงินมามอบให้ นางตาจึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่นายหน้าขายที่ดินรายดังกล่าวไว้ด้วย หลังจากนั้นก็มีการขับไล่นางสาวพีร์ธรัศม์ออกจากพื้นที่ และมีการข่มขู่ต่างๆ นานาๆ ทำให้รู้สึกว่าถูกรังแกมาโดยตลอด
ด้าน นางสาวพีร์ธรัศม์ (ยุพิน) หูตาชัย กล่าวว่า สิ่งที่ออกมาพูดในครั้งนี้ เพราะต้องการให้มีการยกเลิกเอกสารสิทธิที่ออกให้กับบุคคลทั้ง 2 ราย เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเดิมเป็นของตากับยายของตน ที่ตกทอดมาถึงพ่อ-แม่ และตกทอดมาถึงตนในปัจจุบัน ก่อนที่จะมีการออกโฉนดที่ดิน ได้มีนายหน้ามาติดต่อซื้อขายที่ดินดังกล่าว ซึ่งมีการทำสัญญาซื้อขายกันในราคา 150 ล้านบาท โดยมีการวางเงินมัดจำ จำนวน 500,000 บาท ก่อน เพื่อรอให้ออกโฉนดที่ดินแล้วเสร็จ ซึ่งขณะนั้นแม่ของตนเป็นเพียงชาวบ้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย ทางนายหน้าที่มาติดต่อให้เซ็นเอกสารโดยอ้างว่าจะนำไปขอออกโฉนดที่ดินก็เซ็นให้ แต่สุดท้ายโฉนดกลับไปออกในชื่อของบุคคลอื่น ส่วนเงินที่ตกลงซื้อขายที่ดินจำนวน 150 ล้านบาท แม่ของตน หรือทายาท ก็ไม่ได้รับ จึงอยากเรียกร้องให้คนที่นำที่ดินของแม่ตนไปขอออกโฉนดมาแสดงความรับผิดชอบ
ที่ผ่านมาหลังจากที่แม่ของตนเสียชีวิต และมีการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวแล้วตนก็ถูกกลั่นแกล้งมาต่างนานา ทั้งแจ้งขอหาปลูกกัญชา มีคนเอาปืนมาข่มขู่ มีการเผาบ้านพัก และอื่นๆ สารพัดที่กระทำกับตน และลูกๆตน ซึ่งตนรู้สึกอัดอันตันใจเป็นอย่างมาก ถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมามีการไปแจ้งความ มีการไปร้องเรียนแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้ตนทำได้แค่ไปดูที่ดินอยู่ห่างๆ ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ แต่ตนขอยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนยังแสดงตัวว่า ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ เพราะที่ดินแปลงนี้ตนอยู่มาตั้งแต่เกิดมีการปลูกผลอาสินมาอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างบังกะโลไว้ให้บริการ
นางสาวพีร์ธรัศม์ ยังกล่าวต่อว่า ถึงตอนนี้ตนต้องการให้สังคมได้รับรู้ว่าที่ดินทั้ง 2 แปลง มีความเป็นมาอย่างไร ก่อนหน้านี้ใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง และที่ดินแปลงดังกล่าวยังไม่ได้ขายให้กับใคร