เดินหน้ากู้เรือฟินิกซ์ต่อ คาดภายใน 5 วัน ดำเนินการเรียบร้อย
จากเหตุการณ์เรือฟินิกซ์ล่มระหว่างเกาะเฮและเกาะราชาเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 61 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตจำนวน 47 ราย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก รวมถึงตัวเรือฟินิกซ์ที่ยังจมอยู่ใต้ท้องทะเล โดยก่อนหน้านี้ได้มีการดำเนินการกู้เรือมาแล้วเกือบ 4 เดือน แต่ยังไม่สำเร็จ ล่าสุดได้มีผู้รับจ้างรายใหม่ ชื่อบริษัท ซีเควส มารีน จำกัด เข้ามาดำเนินการกู้เรือเพื่อเร่งคืนความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวให้กลับมา
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 61 เวลา 10.00 น. พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวรักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ลงพื้นที่ไปยังจุดที่เรือฟินิกซ์ล่ม ซึ่งในขณะนี้เรือเครนได้เข้าพื้นที่ปฏิบัติภารกิจในการกู้เรือฟินิกซ์อยู่ โดยมีสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนต่างประเทศกว่า 60 คน ร่วมทำข่าวการปฎิบัติงานครั้งนี้
สำหรับการกู้เรือฟินิกซ์นั้นได้ดำเนินการโดย บริษัท ซีเควส มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับจ้างรายใหม่จากประเทศสิงคโปร์ซึ่งได้เข้าปฏิบัติภารกิจต่อจากบริษัทเดิมที่ยกเลิกสัญญาไป ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเดินทางมาถึงจังหวัดภูเก็ตและเข้าปฏิบัติภารกิจตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 โดยมีทีมงานกว่า 100 ชีวิต เข้าติดตั้งอุปกรณ์ใต้น้ำ พร้อมที่จะปฏิบัติการกู้เรือ โดยได้นำเรือเครนขนาด 1,200 ตัน ความยาว 100 เมตร พร้อมเรือลากจูงความยาว 34 เมตร มาร่วมปฏิบัติการ
พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในส่วนของราชการพยายามผลักดันให้มีการกู้เรือให้ได้เพราะซากเรือถือเป็นหลักฐานส่วนหนึ่งที่จะใช้ในการประกอบการดำเนินคดี สำหรับการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในคดีเรือล่ม ซึ่งตอนนี้พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนส่งอัยการเป็นที่เรียบร้อยแล้วและได้ส่งฟ้องต่อศาลแล้ว ในส่วนของปฏิบัติการกู้เรือฟีนิกซ์ในครั้งนี้คาดว่าจะสามารถกู้เรือขึ้นมาได้ภายในระยะเวลา 5 วัน จากนั้นจะมีการตรวจสอบทางวิศวกรรม ของเรือว่ามีการก่อสร้างถูกต้องตามแบบแปลนที่กำหนดหรือไม่และหาข้อมูลว่าเรือดังกล่าวมีการดำเนินการก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนหรือไม่ เพื่อนำข้อมูลไปประกอบทางคดีเพิ่มเติม ทั้งนี้ผลการดำเนินคดีจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจสอบเรือด้วย หากพบการกระทำผิดก็จะต้องมีผู้รับผิดชอบ
ขณะที่ พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวรักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวว่า การพยายามกู้เรือทุกภาคส่วนได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ โดยในส่วนของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ตโดยกรมเจ้าท่าได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะกู้เรือให้สำเร็จแม้ว่าในครั้งที่ผ่านมาจะดำเนินการไม่สำเร็จก็ตาม โดยในการกู้เรือในครั้งนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความตั้งใจจริงที่จะให้ภารกิจการกู้เรือสำเร็จโดยเร็วที่สุด จึงมอบหมายให้มีการดำเนินการนำเรือเครนจากสิงคโปร์เข้ามาร่วมปฏิบัติการกู้เรือ เนื่องจากศักยภาพของเรือเครนลำดังกล่าวมีน้ำหนักกว่า 1,200 ตัน จึงสามารถที่จะกู้เรือขนาดใหญ่อย่างเรือฟินิกซ์ที่มีน้ำหนักถึง 200 ตัน ได้อย่างแน่นอน พร้อมทั้งได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญมาปฏิบัติการกู้เรือด้วย จึงยืนยันได้ว่าการกู้เรือจะใช้เวลาไม่เกิน 5 วัน ก็จะสามารถนำเรือขึ้นมาวางบนคานได้ สำหรับการดำเนินการทางคดีนั้นจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของพลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้หากกู้เรือได้สำเร็จและได้นำเรือไปขึ้นที่คานรัตนะชัยเรียบร้อยขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นกระบวนการพิสูจน์หลักฐานซึ่งจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานและผู้เชี่ยวชาญด้านเรือจากต่างประเทศร่วมกันตรวจสอบว่าเรือมีการต่อที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ ใครเป็นผู้อนุมัติพิมพ์เขียว และพิมพ์เขียวมีความสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบทุกข้อมูลในทุกด้านให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์อย่างที่สุด
ส่วนทางด้าน นายธนภัทร เหมังกร ผู้ควบคุมภารกิจการกู้เรือฟินิกซ์ของบริษัท ซีเควส มารีน จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมในทุกๆด้านไว้แล้ว ซึ่งหากดำเนินการตามแผนที่วางไว้ โดยการนำสมอไปยึดบริเวณรอบๆเรือฟินิกซ์ภายในวันที่ 14 พ.ย. 61 ได้เสร็จวันที่ 15 พ.ย. 61 ก็จะเริ่มภารกิจกู้เรือฟินิกซ์ได้ โดยตอนนี้มั่นใจว่าสามารถกู้เรือฟินิกซ์ได้แน่นอน แต่ปัญหาที่อาจทำให้ยกเรือขึ้นมาได้ช้าคือเรือฟินิกซ์นั้นจมอยู่ในทรายลึกประมาณ 1 เมตร ซึ่งหากกู้เรือได้สำเร็จแล้วก็จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในการลากประคองเรือฟินิกซ์ถึงคานรัตนะชัย
ทั้งนี้ด้านรัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆในการสร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวโดยมีเป้าหมายเพื่อให้รัฐบาลจีนได้เห็นถึงความจริงจังในการดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำผิด และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือภาคเอกชนก็ตาม ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าสถานการณ์ภาพรวมด้านการท่องเที่ยว จะเป็นไปตามแผนในการนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งในจำนวนนักท่องเที่ยวที่วางไว้จำนวน 38 ล้านคน และเป้าหมายรายได้ 2 ล้านล้านบาท จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2562 อย่างไรก็ตามขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันบูรณาการกระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วมสร้างความเชื่อมั่น สร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยทั้งทางรถ ทางเรือและทางอากาศ ให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวโดยขณะนี้สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวดีขึ้นตามลำดับ พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวทิ้งท้าย