12 Easter Eggs ในตัวอย่าง Star Wars 8 เปิดปริศนาที่ซ่อนอยู่ !
ชำแหละตัวอย่าง Star Wars 8 เผยเบาะแส Easter Eggs โยงไปสู่ปริศนาในสงครามอวกาศที่มากขึ้น !
ใกล้ฉายกันเข้าไปทุกทีแล้ว สำหรับ Star Wars: The Last Jedi ภาพยนตร์สงครามอวกาศฟอร์มยักษ์ ที่หลังจาก Lucasfilm ปล่อยตัวอย่างสุดท้ายของภาพยนตร์ไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2017 ที่ผ่านมา ก็เป็นที่ฮือฮาจนแฟน ๆ ต่างแห่มานั่งล้อมวงเพื่อจับเข่าพูดคุยและวิเคราะห์กันยกใหญ่ว่า ในภาคต่อ The Last Jedi นี้ เราจะได้เห็นอะไรที่เชื่อมโยงกับแก่นเรื่องหลักในจักรวาล Star Wars หรือ มีจุดสังเกตในฉากใดที่บอกใบ้ไปถึงเนื้อเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นบ้าง และในวันนี้ทางกระปุกของเราก็ได้รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ Inverse และ Movie Pilot เผยให้เห็นเบาะแสไข่อีสเตอร์ที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่สังเกตเห็น รวมไปถึงเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจจากในตัวอย่างเต็มตัวสุดท้ายของ Star Wars: The Last Jedi ก่อนจะไปรับชมภาพยนตร์พร้อมกันในวันที่ 14 ธันวาคม 2017 นี้ !
คำเตือน : เนื้อหาหลังจากนี้จะเต็มไปด้วยการสปอยส์เรื่องราวในจักรวาล Star Wars เหมาะสำหรับผู้ที่เคยรับชมหนังภาคก่อน ๆ มาแล้วเท่านั้น !
1. ไคโล เรน กับ วอล์คเกอร์รุ่นใหม่
ในช่วงต้นของตัวอย่าง Star Wars: The Last Jedi เราจะเห็นกองทัพวอล์คเกอร์ยืนเรียงรายกันอยู่ ถ้ามองผ่าน ๆ หลายคนอาจจะเข้าใจว่าพวกมันคือ AT-AT วอล์คเกอร์รุ่นคลาสสิกที่ปรากฏตัวอยู่ในจักรวาล Star Wars มาโดยตลอด แต่จริง ๆ แล้วพวกมันคือ AT-M6 (All-Terrain MegaCaliber Six) ที่ทหารฝ่ายปฐมภาคี (The First Order) สร้างขึ้นโดยออกแบบให้ท่าทางการเดินของเจ้าวอล์คเกอร์ตัวนี้มีลักษณะคล้ายกับสัตว์จำพวกลิงเพื่อรองรับน้ำหนักของปืนใหญ่เลเซอร์บนหลังของมัน โดยมียานสั่งการของไคโล เรน ที่เคยเผยโฉมออกมาใน Star Wars: The Force Awakens อยู่บนวอล์คเกอร์ตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า ไคโล เรน ได้กลับมาพร้อมกับกองทัพวอล์คเกอร์ที่อัพเกรดใหม่แล้ว
2. มือจักรกลของ ลุค สกายวอล์คเกอร์
ใน Star Wars: The Empire Strikes Back ลุค สกายวอล์คเกอร์ สูญเสียมือของเขาไปพร้อม ๆ กับดาบเลเซอร์สีน้ำเงินคู่ใจเล่มเก่าในระหว่างการต่อสู้ของเขากับ ดาร์ธ เวเดอร์ ก่อนได้รับมือจักรกลและดาบเลเซอร์สีเขียวเล่มใหม่มาแทนในตอนท้ายของเรื่องในภาคนั้น และในตัวอย่าง Star Wars: The Last Jedi ก็เผยให้เห็นถึงฉากการกลับมาพบกันอีกครั้งของเจ้าของเดิมและดาบคู่ใจในตำนานนี้
นอกจากนี้ยังมีร่องรอยจากภาคอื่นอีกหนึ่งจุดด้วยกัน คือรอยแตกบนมือจักรกลของ ลุค เมื่อครั้งถูกวายร้ายเผ่าฮัท แจ็บบ้า เดซิลิจิก ทิอูเร หรือ แจ็บบ้า เดอะ ฮัท ยิงใส่ในระหว่างการต่อสู้ภาค Star Wars: Return of the Jedi นั่นเอง
3. เบาะแสความเกี่ยวข้องกันของ เรย์ และ ตระกูลสกายวอล์คเกอร์
จากฉากที่ เรย์ กำลังฝึกต่อสู้กับดาบเลเซอร์อาวุธใหม่ที่เธอได้รับมา การที่ เรย์ ชะงักดาบเลเซอร์ค้างไว้โดยยังไม่ฟาดลงไปที่แท่นหินนั้น เป็นท่าทางเดียวกับในฉากที่ ไคโล เรน แกว่งดาบเลเซอร์แล้วชะงักลงตรงคอของเธอใน Star Wars: The Force Awakens ไม่ผิดเพี๊ยน ซึ่งนอกจากจะเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า ใน Star Wars: The Last Jedi นี้ อาจจะมีการเผชิญหน้ากันของ เรย์ และ ไคโล เรน แล้ว แฟน ๆ หลายคนก็นำการเปรียบมาเป็นข้อสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่บอกว่า เรย์ คือน้องของ ไคโล เรน อีกด้วย
4. สีของลำแสงดาบเลเซอร์ที่เปลี่ยนไปของเรย์
ในฉากที่ เรย์ กำลังถือดาบเลเซอร์ของตระกูล สกายวอล์คเกอร์ สังเกตได้ว่า ลำแสงของดาบเลเซอร์นั้นมีสีสว่างขึ้นจากเดิม เทียบจากเมื่อครั้ง ลุค ยังเป็นเจ้าของที่ดาบจะออกสีน้ำเงินเข้มกว่านี้ ตรงกับสิ่งที่เนื้อเรื่องหลักของจักรวาล Star Wars เคยบอกไว้ว่า สีของดาบจะเปลี่ยนไปตามพลัง Force ในกายของผู้เป็นเจ้าของ จึงเป็นสาเหตุให้ดาบเลเซอร์ในมือของผู้ถือแต่ละคนมีสีที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ มาซ คาตานา ผู้รอบรู้หรืออาจารย์ของ ฮาน โซโล ก็ยังเคยพูดไว้ใน Star Wars: The Force Awakens ว่า ดาบได้เลือก เรย์ เป็นเจ้าของแล้ว และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ไปสนับสนุนข้อสันนิษฐานว่า เรย์ นั้นมีสายเลือดเดียวกับตระกูล สกายวอล์คเกอร์ เพราะดาบเลเซอร์ประจำตระกูลนี้ตอบสนองพลังของ เรย์ นั่นเอง
5. ซากปรักหักพัง.. อนุสรณ์ของเหล่าเจได ?
ในฉากที่เรย์กำลังเดินเข้าไปหาซากปรักบางอย่างที่ตั้งอยู่กลางกลุ่มหมอกและเงามืด มีแฟน ๆ ตั้งข้อสังเกตว่าลักษณะของซากปรักนี้คล้ายกับตราสัญลักษณ์ของเจไดที่พลังทลาย สื่อถึงจุดจบของเหล่าอัศวินเจไดที่กำลังจะมาถึง เป็นที่มาของชื่อตอน The Last Jedi อีกทั้งยังนับเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงบรรดาเจไดในอดีตที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย
6. รอยแผลเป็นที่เปลี่ยนไปของ ไคโล เรน
จากการดวลดาบเลเซอร์กลางป่าหิมะใน Star Wars: The Force Awakens ไคโล เรน ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากถูก เรย์ ฟาดดาบเลเซอร์เข้าที่ใบหน้าอย่างจัง ทิ้งร่องรอยความพ่ายแพ้ไว้ด้วยรอยแผลเป็นบากใหญ่บนใบหน้าไล่ลงมาตั้งแต่หน้าผากจรดคาง แต่ตัวผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน (Ryan Johnson) บอกว่า มันดู ‘ติ๊งต๊อง’ ไปหน่อย (อ่านเพิ่มเติม:ไขข้อข้องใจแผลเป็น ไคโร เรน ย้ายจุดได้ ?)เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเห็นรอยแผลเป็นที่เปลี่ยนไปจากรอยสีดำวาวในช่วงต้น กลายเป็นรอยแผลเป็นจาง ๆ ในตอนท้าย
7. สิ่งมีชีวิตในจักรวาล Star Wars ไม่ได้มีแค่ Porg และ Caretaker
ในฉากบนดาว Crait ดาวน้ำแข็งเผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตลักษณะเหมือนจิ้งจอกน้ำแข็ง ซึ่งยังไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาใน Star Wars ภาคอื่น ๆ มาก่อน อีกทั้งฉากในน้ำบนดาว Ach-To ยังชี้ให้เห็นว่า นอกจากเหล่า Porg และ Caretaker ที่อาศัยอยู่บนบกแล้วนั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตตัวอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในน้ำอีกด้วย สังเกตได้จากซากหัวกะโหลกข้าง ๆ ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นหนึ่งคำใบ้ที่บอกว่า เราจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตใหม่ตัวอื่น ๆ อีกในภายภาคหน้าก็เป็นได้
8. เผยโฉมวายร้าย สโน๊ค ตัวจริงเสียงจริง
ใน Star Wars: The Force Awakens เราได้เห็นการเผยโฉมหน้าครั้งแรกของ สโน๊ค ผู้นำสูงสุดของฝ่ายร้ายปฐมภาคีกันไปแล้ว แม้จะมาในรูปของโฮโลแกรม แต่ก็สูงถึง 25 ฟุต (ประมาณเกือบ ๆ 8 เมตร) จนทำให้หลาย ๆ คนเข้าใจว่า รูปร่างของผู้นำวายร้ายสูงสุดคนนี้จะใหญ่ยักษ์อย่างที่เคยเห็น หากแต่ว่าใน Star Wars: The Last Jedi ก็ได้เผยให้เห็นถึงรูปร่างหน้าตาตัวเป็น ๆ ของ สโน๊คกันเลยว่า ทั้งบิดเบี้ยว ทั้งอัปลักษณ์ และไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่อย่างที่เคยปรากฏตัวในภาคก่อนแต่อย่างใด
9. การรียูเนี่ยนของ ฟินน์ และ กัปตันฟาสม่า
จากการเผชิญหน้ากันครั้งล่าสุดของ ฟินน์ และ กัปตันฟาสม่า ใน Star Wars: The Force Awakens ฟาสม่าผู้พ่ายแพ้ต้องพบกับจุดจบของตนในกองขยะ ส่วนตัว ฟินน์ นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับไคโล เรน และในตัวอย่างของ Star Wars: The Last Jedi นี้ ทั้งสองก็ได้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง นั่นก็หมายความว่า ฟินน์ มีชีวิตและสามารถกลับมาปฏิบัติภารกิจลับ ซึ่งก็คือ การปลอมและแฝงตัวเข้ากับฝ่ายศัตรู สังเกตได้จากการที่เขาสวมชุดกองทหารของฝ่ายทวิภาคี ส่วนทางฝากของ ฟาสม่า หลาย ๆ คนอาจสงสัยว่า กัปตันฝ่ายร้ายนี้ออกมาจากห้องบีบอัดขยะนั้นได้อย่างไร ? ทางเว็บไซต์ Business Insider เคยเขียนรายงานถึงเรื่องนี้ไว้ให้แล้วว่า ในหนังสือการ์ตูน Journey to Star Wars: The Last Jedi – Captain Phasma จากค่าย มาร์เวล นั้นมีคำตอบอยู่ !
โดยในหนังสือการ์ตูนนั้น เผยฉากที่กัปตันฟาสม่า ได้ทลายกำแพงของห้องอัดขยะออกมาพบว่า ฐานทัพ สตาร์คิลเลอร์ ของกองทหารฝ่ายทวิภาคีนั้นถูกโจมตีอย่างหนัก และหากนำฉากนี้ไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวล่าสุดใน Star Wars: The Last Jedi นั่นก็หมายความว่า กัปตันฟาสม่า รอดพ้นจากการถูกโจมตีนี้จนกระทั่งได้กลับไปเผชิญหน้ากับ ฟินน์ เพื่อชำระแค้นเก่าของเธอนั่นเอง
10. ปุ่มเทอร์โบใหม่ของ X-Wing คู่ใจ โพ ดาเมรอน
แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเดียว แต่แฟน ๆ คงสังเกตเห็นได้ว่า เจ้า Black One ยานรบ X-Wing รุ่น T-70 ยานบินคู่ใจของ โพ ดาเมรอน (ออสการ์ ไอแซ็ค) นักบินหนุ่มคนเก่งของเรานั้นได้มีการติดเทอร์โบแล้วในที่สุด ตามที่ตัวผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน เคยออกมาพูดถึงกับสื่อ Empire เอาไว้ว่า “เวลากดใช้ปุ่มเร่ง (เทอร์โบ) มันจะเพิ่มความเร็วให้ ดาเมรอน และช่วยให้เขาหลบพวกกระสุนปืนใหญ่จากฐานทัพทวิภาคีได้ ถึงจะเป็นเพียงลูกเล่นชั่วคราวเดี๋ยวก็ไหม้หายไป แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เขาฝ่าห่ากระสุนเลเซอร์ของยานพิฆาตดาราจากฝ่ายทวิภาคีได้”
11. จุดจบของเจ้าหญิงเลอา
“ปล่อยให้อดีตมันตายไปซะ” คือเสียงพูดของ ไคโล เรน ท่ามกลางฉากสงครามกลางอวกาศอันดุเดือด ตามมาด้วยประโยคที่ว่า “ฆ่าซะ ถ้าจำเป็น” ก่อนเจ้าตัวจะชะงักไปเล็กน้อย เมื่อ เจ้าหญิงเลอา ผู้มีศักดิ์เป็นแม่แท้ ๆ ปรากฏกายออกมาจากยานที่ตนกำลังปะทะอยู่ แต่ก็ลังเลได้แค่เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นก่อน ไคโล เรน จะยกมือขึ้นเตรียมกดปุ่มโจมตี.. “เจ้าหญิงเลอาจะจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของลูกชายตัวเองอย่างนั้นหรือ ?” คงเป็นคำถามที่ใครหลาย ๆ คนต่างสงสัย และแม้การตัดต่อของคลิปตัวอย่างนี้จะพาทุกคนให้เชื่อเช่นนั้น แต่การเสียชีวิตของ แคร์รี่ ฟิชเชอร์ (Carrie Fisher) ผู้รับบท เจ้าหญิงเลอา มาตั้งแต่แรกเริ่ม (อ่านเพิ่มเติม: แคร์รี่ ฟิชเชอร์ ถ่ายทำ Star Wars 8 เสร็จแล้วก่อนเสียชีวิต) ก็ทำให้แฟน ๆ บางกลุ่มเชื่อว่า นี่อาจเป็นเพียงการสับขาหลอกเท่านั้น เพราะ ผู้กำกับไรอัน จอห์นสัน น่าจะเตรียมจุดจบของ เจ้าหญิงเลอา ที่สงบสุขและสวยงามกว่านี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ แคร์รี่ ฟิชเชอร์ นักแสดงผู้เป็นที่รักของทุกคน
12. หรือ ดาร์ธ เวเดอร์ จะกลับมาอีกครั้งใน The Last Jedi !?
ภาพจาก ทวิตเตอร์ apelad
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ จากตัวอย่างเต็มสุดท้ายและข้อสันนิษฐานส่วนหนึ่งจากหลาย ๆ กระแสเพียงเท่านั้น ส่วนเบาะแสเด็ดอื่น ๆ และข้อข้องใจที่ทุกคนสงสัย โดยเฉพาะเรื่องชาติกำเนิดของ เรย์ จะถูกเฉลยหรือไม่ คงต้องไปรอลุ้นคำตอบพร้อมกันในโรงภาพยนตร์วันที่ 14 ธันวาคม 2017 นี้ !