7 หลักปรับพฤติกรรมชีวิต พิชิตออฟฟิศซินโดรม
ด้วยสภาพการทำงานที่ต้องรีบเร่ง การอดอาหาร อดหลับอดนอนเพื่อให้งานเสร็จ ทำให้ ร่างกาย ต้องแบกรับความตึงเครียด อีกทั้งการใช้คอมพิวเตอร์วันละหลาย ๆ ชั่วโมง นั่ง ยืน เดิน ฯลฯ ไม่ถูกท่า หรืออยู่ในท่าซ้ำๆ เดิมๆ ต่อเนื่องนานเกินไปจนปวดคอ บ่าไหล่ เมื่อยล้าหลัง ขา เท้า ข้อมือ ข้อเข่า หรือปวดศีรษะและหนักขึ้นๆกระทั่งเข้าสู่ภาวะออฟฟิศซินโดรม หากปล่อยไว้ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ศ.นพ.ธไนนิธย์โชตนภูติ แพทย์หัวหน้าสถาบัน และแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ สถาบันกระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า “ออฟฟิศซินโดรม”ที่เป็นโรคเกิดจากพฤติกรรมการทำงานและใช้ชีวิตไม่เหมาะสม เมื่อรักษาแล้วต้องปรับพฤติกรรมชีวิต เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นซ้ำหรือเป็นภาวะปวดเรื้อรังคนไข้ในกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม จำแนกง่ายๆ 3 ระดับดังนี้ 1.ระยะเริ่มต้น จะแสดงอาการเล็ก ๆ น้อยๆ จนคนมองข้ามไป เช่น อาการปวดบ่า ปวดคอ ปวดหลัง ปวดหัวฯลฯ 2. ระยะต่อมาคือ ปวดจนแทบขยับเขยื้อนร่างกายแทบไม่ได้ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณเตือนของอาการกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง เช่น อาการยกแขนไม่ขึ้น เนื่องจากมีพังผืดเกาะที่บริเวณสะบักและหัวไหล บางรายอาจมีอาการชาไปที่มือหรือนิ้ว และ ระยะหนักหน่วงคือ ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการปรับพฤติกรรมหรือรักษา อาจนำไปสู่โรคร้ายที่อันตรายถึงชีวิต เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลันได้
สำหรับในส่วนการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษานั้น เริ่มต้นทีมแพทย์ จะพิจารณาจากสาเหตุของโรคก่อน เพื่อคืนสภาพของกระดูกและข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท สู่สภาวะปกติ และเป็นการป้องกันไม่ให้กลับมาเกิดอาการปวดอีก โดยแนวทางในการรักษาแบบไม่ผ่าตัดมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค ยกตัวอย่างเช่น การใช้พลาสมาซึ่งมาจากเลือดของคนไข้ผ่านกระบวนการพิเศษในการแยกพลาสมาจากน้ำเลือดของเรา เพื่อนำมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ หรือการฉีดยาระงับการปวดการอักเสบ การใช้คลื่นความถี่พิเศษไปหยุดยั้งความเจ็บปวดของเส้นประสาท ซึ่งเหมาะสำหรับคนไข้ที่มีอาการปวดเรื้อรังในบางกรณีแพทย์อาจต้องให้มีการทำกายภาพบำบัด หรือการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย”
สำหรับ 7 ข้อปรับพฤติกรรมชีวิต ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม มีดังนี้
1. เลิกอิริยาบถในการทำงานไม่เหมาะสม ทั้งนั่งหลังค่อม การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ มากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถหรือการยืน เดิน และอยู่ในอิริยาบถอื่นใดนานเกินไป
2. ลดปัญหาความเครียด เพราะความเครียดนำมาซึ่งอาการยึด ตึง ของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ได้ทุกส่วน
3. ละจากสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวยความสะดวกต่อการทำงานโต๊ะทำงานที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่สะดวกต่อการหยิบสิ่งของ เก้าอี้ไม่เหมาะสม ไม่มีพนักพิงที่รองรับหลังอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการกดแป้นคียบอร์ดที่ไม่มีตัวรองรับข้อมือ จะทำให้มีการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำ ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณเส้นเอ็น รวมทั้งเกิดภาวะพังผืดหนา ทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้ว และข้อมือ
4. ดูแลอาหารการกินให้ตรงมื้อ และครบคุณค่าทางโภชนาการ การรับประทานน้อยเกินไป การอด หรือ กินไม่ตรงเวลา ย่อมทำให้เกิดปัญหาโรคอื่นๆ ตามมา รวมถึง การกินที่มากกินไป กินของไม่มีประโยชน์ ก็เช่นกัน
5. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะสารชนิดนี้มีผลกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดออกมามาก
6. ส่งเสริม สภาพแวดล้อมอื่นๆ จัดโต๊ะและเก้าอี้ทำงาน และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะกับอิริยาบถประจำวัน ทำห้องทุกห้องในบ้านและที่ทำงานให้ปลอดโปร่ง สะดวกต่อการ ยืน เดิน และหยิบฉวยสิ่งของ ทั้งยังสร้างความผ่อนคลาย
7. เพิ่มเติมการออกกำลังกาย และ/หรือ กีฬา เป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 30 นาที
สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แนะนำท่าออกกำลังกายเพื่อให้ได้ยืดเส้นยืดสายในออฟฟิศสองท่า ท่าแรกคือ Squat Mobility ท่าที่สองคือ Push up Shoulder Mobility ทั้งสองท่าจะช่วยในการปรับสรีระ และเรื่องการขยับตัวของกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่างๆ จากการอยู่ในท่าเดิมนานๆ
ขั้นตอนง่ายๆ ของ ท่าแรก Squat Mobility
หนึ่ง-ยืนขากว้างประมาณหัวไหล่
สอง-ขาตรงก้มลงไปจับปลายเท้า ท่อนแขนอยู่ด้านในของขา
สาม-นั่งยองลงไป
สี่-ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะแล้วยืนขึ้น
ส่วนท่าที่สอง Push up Shoulder Mobility
หนึ่ง-เริ่มท่ามาตรฐานแบบวิดพื้น บนพื้น กำแพง หรือโต๊ะทำงาน
สอง-ย่อแขนและลำตัวลง ให้ข้อศอกกาง
สาม-ดันตัวเองกลับมาแขนตรง กดศีรษะลง
สี่-กลับมาที่ท่าเริ่มต้น
ภาพประกอบ : www.nuskin.com
อ่านต่อได้ที่ http://www.siamturakij.com